1. ทำ IF (Intermittent Fasting) กิน 8 อด 16 เป็นการอดอาหารในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันสะสม เช่น ทานมื้อแรกตอน 10 โมงเช้า และทานมื้อสุดท้ายของวันตอน 6 โมงเย็น ระหว่างนั้นให้ดื่มน้ำเปล่า น้ำชา หรือกาแฟที่ไม่เติมน้ำตาลได้ เพราะการอดอาหารในช่วงเวลาที่มากกว่า 12 ชั่วโมงขึ้นไป นอกจากจะลดไขมันได้แล้ว ร่างกายยังมีเวลาให้สามารถซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย

2. ออกกำลังกายตอนท้องว่าง เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันสะสม ครั้งละ 30 นาที ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนักมากเกินไป แค่ทำอย่างต่อเนื่องให้ครบเวลา อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน หากคุณไม่ใช่คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ การโหมออกกำลังกายอย่างหนักอาจทำให้ร่างกายรู้สึกเครียดและเกิดความวิตกกังวลได้ ดังนั้นจึงควรออกกำลังอย่างพอดี

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอตามน้ำหนักร่างกาย สูตรคำนวนอย่างง่าย : น้ำหนักตัว X 33 = ปริมาณที่ควรดื่มต่อวัน (cc) เช่น น้ำหนัก 54 kg. X 33 = 1,782 cc หรือ 1.78 ลิตร สามารถดื่มมากกว่าที่คำนวนได้ไม่เกิน 500 cc เพราะหากดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ถ้าน้อยเกินไป จะทำให้ไตทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้นกว่าปกตินั่นเอง

4. ลดน้ำตาลและแป้งในมื้ออาหาร โดยปกติเราจะได้น้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การหลีกเลี่ยงน้ำตาลอื่น ๆ เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน รวมถึงข้าวขาว ขนมปังขาวขัดสี อาหารที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบ การเติมเครื่องปรุงในก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น ก็จะช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะน้ำตาลจะทำให้เกิดการสะสมไขมัน และเป็นตัวกระตุ้นให้อยากอาหารมากขึ้นนั่นเอง

5. ทานมื้อสุดท้ายของวันก่อนนอน 4-6 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาย่อยอาหารมากขึ้น และยังป้องกันการเกิดกรดไหลย้อนได้ด้วย

6. ดื่ม ACV (Apple cider vinegar) คือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ดื่มครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง โดยผสมกับน้ำเปล่าเพื่อดื่มก่อนมื้ออาหาร  อย่างไรก็ตาม การดื่ม ACV เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งเท่านั้น เนื่องจาก ACV จะมีความเป็นกรดสูง จึงไม่ควรดื่มเพียวๆ และไม่ควรดื่มมากกว่า 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน

หากปฏิบัติตามคำแนะนำทั้ง 6 ข้อนี้ได้อย่างเป็นประจำ จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผลและดีต่อสุขภาพ แต่ในบางรายที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการลดน้ำหนักด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง